กิจกรรมการเรียนการสอนรายวิชาอินเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553


“สมอง” นับว่าเป็นอวัยวะที่สำคัญมาก เป็นอวัยวะที่บัญชาการควบคุมให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายสามารถทำงานได้ตามปกติ แม้ว่าสมองจะถูกใช้งานยาวนานเพียงใด ก็ยังสามารถทำงานได้ดี หากเราดูแลและบริหารสมองให้ดีอยู่เสมอ ซึ่งอาหารหารกินก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยบำรุงสมองให้ทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพ

อาหารบำรุงสมองที่สำคัญ

1. ไทโรซีน (Thyrosine) มีมากในปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาทะเลนย้ำลึก สารไทโรซีนช่วยให้สมองตื่นตัว และมีสมาธิ

2. นม และผลิตภัณฑ์จากนม ช่วยทำให้เกิดความสมดุลของสารเคมีในสมอง สร้างความกระฉับกระเฉงให้แก่สมอง

3. ข้าวไม่ขัดสี ในข้าวไม่ขัดสีมีกรดอมิโนที่ไม่จำเป็นอยู่ในปริมาณมากซึ่งกรดอะมิโนเหล่านี้จะเป็นตัวที่ส่งสารอาหารต่างๆ ไปเลี้ยงสมอง

4. ผักโขม ช่วยชะลอความเสื่อมของสมองส่วนกลาง เนื่องจากวัยที่สูงขึ้น สมองก็จะเสื่อมลงด้วย

5. ขมิ้น สีเหลืองของขมิ้นช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ป้องกันความจำเสื่อม

6. สตรอเบอร์รี่ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสมอง

มาเริ่มบำรุงสมองให้ดีอยู่กับเราตลอดไป โดยกินอาหารที่ช่วยบำรุงสมองอยู่พอเพียง และหมั่นใช้สมองอย่างต่อเนื่องพร้อมทำสมาธิและพักผ่อนอย่างเพียงพอ


"10 วิธีในการคลายความเครียด"

1. ฟังเพลง หามุมสงบ
นั่งปล่อยใจให้ล่องลอยอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วฟังเพลง เบา ๆ โดยเฉพาะเพลงจำพวก Meditation ซึ่งเดี๋ยวนี้มีให้เลือกหลากหลายแบบตามความต้องการ ทั้งเสียงของดนตรี บรรเลงหรือเสียงธรรมชาติ จำพวกเสียงคลื่น..เสียงน้ำตก..เสียงนกร้อง รับรองว่าจะช่วยสร้างสมาธิให้กลับคื่นสู่สมองและจิตใจได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ในช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ เชียวล่ะ

2. ฉายเดี่ยวดูภาพยนตร์
ขอแนะนำให้ฉายเดี่ยวแล้วตีตั๋วดูหนังดีๆ สักรอบ เพราะการไปดูหนังเนี่ยเป็นวิธีที่เวิร์คที่สุดที่จะปลดปล่อยความรู้สึกให้ ล่องลอยอย่างเป็นอิสระไม่จมอยู่กับปัญหา แถมระบายความอัดอั้นตันใจได้อย่างเห็นผล แต่ต้องถามตัวเองก่อนนะว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน เช่น ถ้าอยากร้องไห้ก็ไปดูหนังรักเศร้าเคล้าน้ำตาแล้วก็ร้องไห้ออกมาซะให้พอ หรือถ้าเครียดจัดก็จงไปดูหนังตลกแล้วหัวเราะให้หลุดโลกไปเลย

3. โทรหาเพื่อนรู้ใจ
อย่าคิดว่าตัวเองจะแก้ปัญหาทุกปัญหาได้ดีไปซะหมด หัวใจสาวมั่นแม้จะแกร่งเพียงใดก็ยังต้องการที่พึ่งพิงเสมอ ยกหูโทรศัพท์หาเพื่อรู้ใจสันคนแล้วระบายความรู้สึกให้เพื่อนได้รับรู้ เพราะการมีคนรับฟังและให้คำปรึกษา จะทำให้ชีวิตที่เอียงกะเท่เร่เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น อย่างน้อยก็ยังรู้สึกว่า ไม่ได้แบกปัญหาอยู่คนเดียวในโลกไงล่ะ

4. เขียนไดอารี่
การเขียนไดอารี่เปรียบเสมือนการเปิดประตูอารมณ์ที่ปล่อยให้ความอัดอั้นตันใจต่างๆ ได้ไหลลงสู่หน้ากระดาษอย่างเป็นอิสระและเป็นส่วนตัวที่สุด เพราะการถ่ายเทความรู้สึกในใจออกมา จะทำให้จิตใจปรับสมดุลได้เร็วขื้น อีกทั้งระหว่างการเขียนไดอารี่นั้นยังถือเป็นการทบทวนความรู้สึกตัวเองที่ดี ที่สุดด้วย ส่วนข้อดีสุดเลิศอีกข้อก็คือ ไดอารี่เป็นเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้ที่สุด เพราะรับฟังเราเสมอและไม่เคยเอาความลับไปบอกต่อไงล่ะ

5. พลังแห่งการสัมผัส
ลองมองหาใครสักคนช่วยโอบกอดหรือสัมผัสเบา ๆ เวลารู้สึกเหนื่อยล้าดูสิ เพราะร่างกายคนเราเวลาถูกสัมผัสเนี่ย จะทำให้เกิดฮอร์โมนที่ชื่อ "อ๊อกซี่โทชิน" ซึ่งมีผลในการลดระดับความเหนื่อยและความเครียด ช่วยให้ร่างกายที่กำลังอ่อนล้ารู้สึกผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ

6. สร้างอารมณ์ขัน
พยายามมองหาเพื่อนที่มีอารมณ์ขันช่วยกระตุ้นจิตใจที่แสนห่อเหี่ยวให้หัวเราะได้อีกครั้ง เพราะคนที่หัวเราะง่ายจะมีสุขภาพจิตที่ดี เนื่องจากการหัวเราะจะช่วยลดความดันโลหิตและระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลลง (ฮอร์โมนคอร์ติซอล = ฮอร์โมนแสดงความเหนื่อยล้าในกระแสเลือด) แถมยังช่วยเสริมสร้างระดับของ "อิมโมโนโกลบูลินเอ" ซึ่งเป็นสารแอนตี้บอดี้ที่สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายอีกด้วยนะ เพราะฉะนั้นหัวเราะเข้าไว้ แล้วจะดีเอง

7. สูดกลิ่นหอม
รู้หรือเปล่าว่า...กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์มีผลในการช่วยปลุกประสาทสัมผัสให้สดชื่นตื่นตัว แถมยังกระตุ้นพลังงานในจิตใจได้เป็นอย่างดี เวลาเครียด ๆ ก็ลองสูดกลิ่นหอมของดอกไม้สิ อย่างกลิ่นกุหลาบ มะลิ ลาเวนเดอร์ หรือจะหยดน้ำมันหอมระเหยในน้ำอุ่นกำลังดี แล้วนอนแช่ตัวให้เพลินสักครึ่งชั่วโมงก็ได้ กลิ่นหอมจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้อย่างบอกไม่ถูกเชียวล่ะ

8. ไปตากอากาศ
หาเวลาหลบไปสูดอากาศบริสุทธิ์กับชีวิตท่ามกลางธรรมชาติสักพัก สิ หายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ ปล่อยสมองให้ว่างที่สุด แล้วก็นอนให้มากที่สุดเท่าที่อยากจะนอน เพราะบางทีความรู้สึกเหนื่อยล้าและหดหู่แบบไม่ทราบสาเหตุเนี่ยมันมาจาก ชีวิตที่ยุ่งเหยิงจนเกินไป เพราะฉะนั้นหลบไปนอนตากน้ำค้างดูดาวเสียบ้าง หัวใจจะได้ชาร์จพลังได้ดีขึ้น

9. หาสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อน
ลองหาสัตว์เลี้ยงสักตัวมาเป็นเพื่อนเล่นก็ไม่ เลวนะ เพราะการให้เวลากับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด คุยเล่น หยอกล้อกับมันเสียบ้าง จะช่วยให้จิตใจอันแสนจะฟุ้งซ่าน สงบลงได้ แถมรู้จักการให้และมองโลกในแง่ดีมากขึ้นอีกต่างหาก ที่สำคัญยังช่วยลดความดันโลหิตได้อีกด้วยนะ

10. จินตนาการแสนสุข
อีกทางเลือกสำหรับการบรรเทาความหดหู่ในส่วนลึก เป็นการดึงตัวเองออกจากโลกปัจจุบัน ทำได้โดยหลับตาแล้วหายใจลึก ๆ จากนั้นก็สร้างจินตนาการถึงความฝันที่วาดหวังเอาไว้ หรือแม้แต่ความหลังอันแสนสุขที่เคยมีการดึงความสุขจากจินตนาการมาใช้จะ ทำ ให้เกิดพลังสร้างสรรค์ในหัวใจ และยังช่วยสลายความเครียดข้างในได้เป็นอย่างดี ทำแบบนี้เงียบๆ สัก 5 นาที รับรองรู้สึกดีแบบทันตาเห็น

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553


รองเท้านารีม่วงสงขลา

ลักษณะ ใบรูปขอบขนานเรียงสลับ ระนาบเดียว ด้านบนของใบมีลายคล้ายหินอ่อน ดอกเดี่ยว กว้าง 5 ซม. สีม่วงแดง ก้านดอกยาวกว่าใบ ใบประดับดอกรูปหอก กลีบเลี้ยงบนรูปรีแกมรูปหอกกลับ ส่วนปลายสีขาวและมีเส้นสีม่วงอมเขียวเรียงขนานกัน กลีบเลี้ยงคู่ข้างเชื่อมกัน มีขนานเล็กกว่ากลีบเลี้ยงบน กลีบดอกรูปแถบ ปลายแหลมสีขาว ที่ขอบด้านบนมีตุ่มนูนขนาดเล็ก กลีบปากเป็นถุงลึกสีม่วง

ออกดอกช่วงเดือน ธันวาคม ถึงมกราคม

แหล่งที่ พบ กระบี่ สงขลา ระนอง และพังงา

รองเท้านารีเหลืองปราจีน

ลักษณะ ทางพฤกษศาสตร์

มีลักษณะเป็นพุ่มต้นกว้างประมาณ 20-25 ซม. สูงประมาณ 10-20 ซม. ใบกว้าง 2.5-3.5 ซม. ยาว 10-20 ซม. ใบด้านบนเป็นลายสีเขียวสลับเขียวอ่อน ใต้ท้องใบมีจุดประสีม่วงเล็กน้อย ดอกกว้างประมาณ 3.5-7 ซม. ก้านช่อดอกค่อนข้างสั้นประมาณ 5-7 ซม. ช่อหนึ่งมี 1-2 ดอก กลีบบนและกลีบในสีเหลืองมีจุดประสีม่วงกระจายทั่วกลีบ

ออกดอกช่วงเดือนมีนาคม – พฤษภาคม


รองเท้านารีฝาหอย


เป็นกล้วยไม้รองเท้านารี อีกชนิดหนึ่งที่น่าสนใจ นำมาปลูกเลี้ยงและผสมพันธุ์ พัฒนาพันธุ์ให้เกิดลูกผสมชนิดใหม่แปลกๆ หรือใครที่ไม่สนใจผสม ก็อาจนำมาปลูกไว้เพื่อเสริมสร้างรากฐานการศึกษาและสั่งสมจิตวิญญาณ ความรักธรรมชาติให้ลึกซึ้ง มากขึ้นในตนเองได้ เป็นชนิดที่ใบมีลายสีเขียวแก่สลับเขียวอ่อนคล้ายคลึงกันกับเหลืองปราจีน แต่ผู้มีประสบการณ์อาจสามารถ รองเท้านารีฝาหอยจำแนกแยกแยะ ออกจากกันได้ไม่อยากนัก เนื่องจากความแตกต่างในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ โดยไม่ต้องอาศัยตำราบนแผ่น กระดาษ ดอกมีกลีบหนามากรูปลักษณะกลมหากมองจากด้านหน้า มีจุดสีม่วงน้ำตาลคล้ำจุดค่อนข้างใหญ่หากเปรียบเทียบกับ ชนิดอื่นๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วก้านดอกอ่อนจนถึงห้อยลงด้านล่าง ไม่สามารถพยุงน้ำหนักดอกได้ฤดูที่มีดอกมากอยู่ในราวเดือน พฤศจิกายนถึงกุมภาพันธุ์ แต่ก็มีประปราย ตั้งแต่ในราวกลางฤดูฝน หรือระหว่างเดือนสิงหาคม เป็นต้นไปแหล่งกำเนิดอยู่บนเขา รองเท้านารีฝาหอยหินปูนใน จังหวัดภาคเหนือของประเทศไทยดังเช่นที่รู้ๆ กันว่า พบในเขตดอยเชียงดาว ในบริเวณซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเล ไม่ต่ำกว่า ๗๐๐ เมตร นำลงมาปลูกออกดอกได้ดีในที่ราบของเมืองเชียงใหม่ แต่ในกรุงเทพฯ ออกดอกยาก

ในวงการกล้วยไม้ไทย เมื่อมีการจัดงานแสดง และประกวดกล้วยไม้ และมี่กล้วยไม้รองเท้านารีชนิดนี้ร่วมแสดง เจ้าของ มักใช้ไม้เล็กๆ พยุงก้านดอกให้ตั้งขึ้นเนื่องจากปกติ หรือโดยธรรมชาติ จะห้อยลงแต่เมื่อได้ไปพบเห็นในประเทศอื่นซึ่งมาเอา ไปปลูก เขานิยมปลูกไว้เป็นกอใหญ่ ใช้กระถาง ซึ่งสามารถนำมาแขวนได้แล้วปล่อยให้ดอก ซึ่งมีหลายดอกห้อยลงมาโดยรอบ นับว่าเป็นการใช้ศิลปะ ที่ไม่ฝืนธรรมชาติและทำให้ดูสวยงามได้

รองเท้านารีคางกบคอแดง

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ใบมีจำนวนมาก เป็นรูปขอบขนานเรียงสลับระนาบเดียว ด้านบนของใบมีลายคล้ายหินอ่อน ดอกเดี่ยว สีแดงอมชมพู ส่วนโคนกลีบสีเขียว ใบประดับดอกรูปหอก ดอกกว้าง 6 ซม. กลีบเลี้ยงบนรูปไข่กลับแกมรูปขอบขนาน กลีบเลี้ยงคู่ข้างเชื่อมกัน กลีบดอกรูปแถบแกมรูปไข่กลับ ปลายกลีบบางครั้งมีแฉกขนาดเล็กสองแฉก กลีบขนานกับพื้น กลีบปากเป็นถุงลึก ขอบกลีบด้านบนเรียบไม่ม้วนเข้า
ออกดอกช่วงเดือน มีนาคมถึง พฤษภาคม
แหล่งที่พบพืชถิ่นเดียวพบเฉพาะในประเทศไทยที่ตราด ระยอง และจันทบุรี

กล้วยไม้ไทยรองเท้านารี



กล้วยไม้รองเท้านารีพันธุ์พื้น เมืองของไทย

กล้วยไม้รองเท้านารีสกุล Paphiopedilum มีชื่อสามัญว่า Venu s’ Slipper มีชื่อไทยว่า รองเท้านารีหรือ
รองเท้าแตะนารี ที่เรียกชื่อดังนี้เนื่องจากดอกมีลักษณะขอบปากงองุ้มเข้าหากันเป็นรูป คล้ายกระเป๋าหรือหัวรองเท้า
แตะของชาวดัทช์ กล้วยไม้รองเท้านารีจัดเป็นพืชที่มีศักยภาพอีกชนิดหนึ่งเนื่องด้วยมีรูปทรง สีสัน ความแปลกตาของ
ดอกและใบจึงทำให้มีผู้สนใจ รัก และปลูกเลี้ยงกันมากขึ้น อีกทั้งเป็นพืชที่มีสนนราคาค่อนข้างสูง จึงได้มีการปลูก
เพื่อการค้ากันอย่างแพร่หลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ อย่างไรก็ตามการนำกล้วยไม้รองเท้านารีมา ปลูกเลี้ยง
โดยเฉพาะกล้วยไม้รองเท้านารีพันธุ์แท้นั้นควรได้มาอย่างถูกต้องตามกฎหมายและ หลีกเลี่ยงการลักลอบเก็บมาจาก
ธรรมชาติ เพื่อให้กล้วยไม้รองเท้านารีพันธุ์แท้ของไทยคงอยู่ตลอดไปและไม่สูญพันธุ์ไป จากป่าของไทย
ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นแหล่งกล้วยไม้เขตร้อนที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก โดยเฉพาะกล้วยไม้รองเท้านารีพันธุ์พื้นเมืองที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยมี จำนวน 17 ชนิดล้วนอยู่ในสกุล Paphiopedilum เพียงสกุลเดียวเท่านั้น ซึ่งได้รับความสนใจนำมาปลูกเลี้ยง ปรับปรุงพันธุ์และขยายพันธุ์เพื่อการค้ากันอย่างกว้างขวางทั้งในประเทศและ ต่าง ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น บางประเทศในยุโรปและเอเชีย ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งส่งออกกล้วยไม้ รองเท้านารีที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกไม่แพ้ไม้ดอกไม้ประดับประเภทอื่นๆ ทั้งในรูปแบบของไม้กระถางและไม้ตัดดอก
ถิ่นกำเนิดของกล้วยไม้รองเท้านารีสกุล Paphiopedilum กล้วยไม้รองเท้านารีสกุล Paphiopedilum จัดเป็นพันธุ์ไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อน โดยเฉพาะแถบเอเชีย ตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้แก่ อินเดีย บังคลาเทศ นิวกินี ภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจีน หมู่เกาะโซโลมอน อินโดนีเซีย พม่า มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย
กล้วยไม้รองเท้านารีพันธุ์พื้นเมืองสกุล Paphiopedilum ที่พบว่ามีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทยมี 17 ชนิดได้แก่
1. รองเท้านารีคางกบคอแดง (Paph. appletonianum var. wolterianum.)
2. รองเท้านารีม่วงสงขลา หรือรองเท้านารีคางกบภาคใต้ (Paph. barbatum)
3. รองเท้านารีฝาหอย (Paph. bellatulum.)
4. รองเท้านารีคางกบ หรือรองเท้านารีไทยแลนด์ (Paph. callosum.)
5. รองเท้านารีดอยตุง (Paph. charlesworthii.)
6. รองเท้านารีเหลืองปราจีน หรือรองเท้านารีเหลืองกาญจน์ หรือรองเท้านารีเหลืองอุดร ( Paph. concolor)
7. รองเท้านารีเหลืองกระบี่ (Paph. exul)
8. รองเท้านารีขาวชุมพร (Paph. godefroyae)
9. รองเท้านารีเหลืองตรัง หรือรองเท้านารีเหลืองพังงา (Paph. godefroyae var. leucochilum)
10. รองเท้านารีเหลืองเลย (Paph. hirsutissimum var. esquirolei)
11. รองเท้านารีอินซิกเน่ (Paph. insigne)
12. รองเท้านารีขาวสตูล (Paph. niveum)
13. รองเท้านารีเมืองกาญจน ์หรือรองเท้านารีเชียงดาว (Paph. parishii)
14. รองเท้านารีปีกแมลงปอ หรือรองเท้านารีสุขะกูล ( Paph. sukhakulii)
15. รองเท้านารีอินทนนท์ (Paph. villosum)
16. รองเท้านารีช่องอ่างทอง ( Paph. X Ang Thong)
17. รองเท้านารีเกาะช้าง ( Paph. X Siamensis)